ผลการเรียนiรู้ที่ 2 บอกลักษณะและประเภทของไม้ดอกไม้ประดับ
ประเภทไม้ดอกไม้ประดับ 5 ประเภท
ไม้ตัดดอก ไม้กระถาง ไม้ตัดใบ ไม้เด็ดดอก ไม้จัดสวน (ประเภทไม้คลุมดิน ไม้จัดสวนประเภทไม้ยืนต้น ไม้จัดสวนประเภทไม้พุ่ม )
เอกสารความรู้
เรื่อง ประเภทของไม้ดอกประดับ
การจำแนกไม้ดอกประดับ มีความจำเป็นและมีความสำคัญอยู่มากที่จะต้องทราบเพื่อพิจารณาและนำไปใช้ได้ถูกต้อง โดยอาศัยเกณฑ์จำแนกดังนี้
- การแบ่งประเภทพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับตามหลักพฤกษศาสตร์ (Botanical classification)
การแบ่งประเภทพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ตามหลักพฤกษศาสตร์นั้นมีความมุ่งหมายเพื่อจำแนก
พันธุ์ไม้ทั่ว ๆ ไปให้แน่ชัดในรูปร่าง ลักษณะ นิสัย การดำรงชีวิต และการสืบพันธุ์ของพันธุ์ไม้ที่อยู่เป็นกลุ่ม เป็นพวกที่แน่นอน ไม่ปะปนสับสนกัน มีพันธุ์ไม้หลายชนิดที่มีลักษณะคล้ายกันมาก
แต่ก็ไม่เหมือนกันและไม่ใช่ชนิดเดียวกัน ดังนั้นในการแบ่งหรือจำแนกพันธุ์ไม้นั้น จึงพยายามศึกษาคุณสมบัติต่าง ๆ ในทางสรีรวิทยาของมัน เช่น ลักษณะต้น ใบ ดอก ผล การขยายพันธุ์ เพื่อคัดจำแนกเอาพันธุ์ที่มีลักษณะส่วนใหญ่ ๆ เหมือนกันรวมไว้เป็นพวกเดียวกัน และในลักษณะใหญ่ ๆ ที่เหมือนกันในพวกเดียวกันนั้น เมื่อมีลักษณะปลีกย่อยต่าง ๆ กันไป คัดแยกประเภทออกไปอีก เป็นประเภทและชนิดเดียวกันออกไปจนถึงที่สุด ที่มีลักษณะเกือบทุกอย่างอยู่ในประเภทและชนิดเดียวกันเกือบทุกอย่างคงผิดกันแต่เรื่องปลีกย่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต่างกันเท่านั้น พันธุ์ที่มีลักษณะอย่างเดียวกันอยู่ในพวกเดียวกันก็มีชื่อตามพวกและหลักเดียวกัน จนในที่สุดการจำแนกที่ละเอียดลงมาก็จะมีชื่อที่แน่นอน
ไม่ปะปนและซ้ำกัน ทำให้เกิดการไขว้เขวและปะปนเข้าใจผิดกันได้ ชื่อที่ตั้งให้นั้นจะเรียกว่า
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ (Scientific name) ซึ่งประกอบด้วยชื่อสกุล (Genus) แล้วตามด้วยชื่อชนิด (Species) ถึงอย่างไรก็ตามยังมีพันธุ์ไม้อีกมากมาย ที่ยังค้นไม่พบจึงไม่อาจสรุปได้ว่า การแบ่งพันธุ์ไม้ดอก
ไม้ประดับ ตามหลักพฤกษศาสตร์นั้นเป็นหลักที่แบ่งพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับได้อย่างแน่นอน และ
มีความสำคัญอย่างยิ่งในระหว่างหลักพิจารณาแบ่งพันธุ์ไม้ เป็นหนทางนำไปสู่ชื่อวิทยาศาสตร์ ที่จำเป็นต้องใช้อยู่เสมอเป็นประจำโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย
การตั้งชื่อและการเรียกชื่อพืชทางพฤกษศาสตร์
ในโลกเรานี้มีพรรณไม้อยู่มากมายหลายชนิด ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ๆ สามารถเจริญเติบโต
กระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก การเรียกชื่อต้นไม้ต้นหนึ่ง ๆ จึงต้องมีการกำหนดหรือ
จัดระบบการเรียกเป็นเกณฑ์มาตรฐานเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันของคนทั่วโลก
ชื่อของพืชที่ใช้อ้างอิงในปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ
- ชื่อสามัญ (Common name) เป็นชื่อที่เรียกขานกันทั่วไปโดยกำหนดตามลักษณะของ
ต้นไม้นั้น ๆ ตามที่มองเห็น เรียกตามถิ่นกำเนิดที่ค้นพบ เรียกตามประโยชน์ที่ได้รับจากต้นหรือเรียกตามชื่อผู้ค้นพบพืชนั้น ๆ เป็นคนแรกก็ได้พืชชนิดเดียวกันอาจมีชื่อสามัญหลายชื่อแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น เช่น (Heliconia caribaea Lamarck “Purpurea” เรียกชื่อสามัญต่างกันไปหลายชื่อ กล่าวคือที่ฮาวายเรียกกันว่า Burgundy Rea Caribaea. Red Caribe แต่ทางคอสตาริกา เรียกว่า Volcano Red เป็นต้น
- ชื่อทางวิทยาศาสตร์ (Scientific name) เป็นชื่อเรียกสากลที่มีกฎเกณฑ์เฉพาะตั้งขึ้นโดย
Carolus Linnaeus (1753) นักชีววิทยาชาวสวีเดน บิดาแห่งอนุกรมวิธานกำหนดให้สิ่งมีชีวิตมีชื่อประกอบด้วยคำ 2 คำ คำแรกเป็นชื่อสกุลหรือจีนัส (Genericname or genus) คำหลังเป็นคำระบุชนิด (Specific epithet) นำคำทั้งสองมาเขียนเรียงกันเรียกกระบวนการตั้งชื่อแบบนี้ว่า การตั้งชื่อคู่ (Binomial nomenclature)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์เป็นชื่ออ้างอิง ที่ใช้กันเป็นสากลมากกว่าชื่อสามัญ เนื่องจากดังที่กล่าว
มาข้างต้นว่า ชื่อสามัญของพืชหนึ่ง ๆ อาจจะมีชื่อเรียกชื่อหลายชื่อต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น ดังนั้นพืชสองชนิดอาจจะมีชื่อสามัญชื่อเดียวกันก็ได้ ทำให้เกิดความเข้าใจสับสนได้ง่าย แต่ชื่อทางวิทยาศาสตร์นั้น จะเป็นชื่อเฉพาะของต้นไม้แต่ละต้นและเป็นชื่อที่ถูกต้องเพียงชื่อเดียวเท่านั้น
นอกจากชื่ออ้างอิงทั้งสองชนิดที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีชื่อเรียกชนิดอื่น ๆ ที่นิยมใช้ในปัจจุบันเช่น
- ชื่อตั้งทางการค้า (Commercial name) เป็นชื่อเรียกเพื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในการติดต่อ
ซื้อ – ขายเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันของผู้ซื้อ – ขาย เช่น Sassy เป็นชื่อ Heliconia psittacorum “sassy”
- ชื่อตั้งประจำท้องถิ่น (Local name) เป็นชื่อเรียกที่ตั้งขึ้นตามแต่ละท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น
นมพิจิตร เป็นชื่อเรียกของ Hoya parasitica ในภาคกลาง
- ชื่อเรียกตามสมัยนิยม (Popular name) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นในช่วงที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น บุคคล
สถานที่ กำลังเป็นที่นิยมในขณะนั้น เช่น Mussaenda “Queen Sirkit” (ดอนญ่า ควีนสิริกิต์) รัฐบาลฟิลิปปินส์ ได้ขอพระราชทานพระนามเป็นชื่อดอนย่าพันธุ์ใหม่ เมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จฯ เยือนประเทศฟิลิปปินส์ ในปี พ.ศ. 2506
หลักเกณฑ์การตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์
- ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดต้องแยกจากกันอย่างเด่นชัด เป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน
- ชื่อวิทยาศาสตร์ในแต่ละหมวดหมู่จะต้องมีชื่อที่ถูกต้องเพียงชื่อเดียวเท่านั้นส่วนอื่น ๆ จัดว่า
เป็นชื่อพ้อง (Synonym)
- ชื่อวิทยาศาสตร์ต้องเป็นภาษาละติน ไม่ว่าจะมีรากศัทพ์มาจากภาษาใด ๆ ก็ตามเหตุที่ใช้
ภาษาละตินเป็นหลักเนื่องจากภาษาละตินเป็นต้นกำเนิดของภาษาหลายภาษา ภาษาในประเทศในแถบยุโรปเป็นส่วนใหญ่ และภาษาละตินถือว่าเป็นภาษาที่ตายแล้ว กล่าวคือจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง
- การตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ถือตามระบบการตั้งชื่อคู่ คือประกอบด้วยคำ 2 คำเสมอ คำแรก
เป็นชื่อสกุล อักษรตัวแรกของสกุล ให้ใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ ส่วนคำหลังเป็นคำระบุชนิดควรเป็นคำเดียวหรือคำผสมที่ระบุให้ชัดเจนลงไปและขึ้นต้นด้วยอักษรตัวพิมพ์เล็ก
- การเขียนชื่อวิทยาศาสตร์ต้องให้มีลักษณะแตกต่างจากอักษรอื่น โดยอาจเขียนด้วยตัวเอน
หรือขีดเส้นใต้ โดยเส้นที่ขีดนั้นนั้นต้องไม่ติดกัน
- ผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้เขียนไว้ข้างงหลังโดยนำตัวอักษรตัวใหญ่ ไม่ต้องเขียนด้วยตัวเอน
หรือขีดเส้นใต้ โดยปกติอาจจะเขียนเป็นชื่อเต็มหรือชื่อย่อก็ได้ เช่น Linn. เป็นชื่อย่อของ Linnaeus
เป็นต้น ซึ่งในบางครั้งชื่อผู้ตั้งอาจจะมีมากกว่า 1 ชื่อก็ได้ เช่น
- Heliconia mathiasiae Daniais & Stiles หมายความว่าชื่อวิทยาศาสตร์ร่วมกันตั้งโดย
Daniais และ Stiles
- Hibiscus acetosella Welw.ex Hieen. หมายความว่าชื่อวิทยาศาสตร์นี้ตั้งขึ้นโดย Welw
โดยมี Hieen เป็นคนอธิบายลักษณะเพิ่มเติมในภายหลัง
- Polyscias guilfoylei (Bull) L.H.Bail. หมายความว่าชื่อวิทยาศาสตร์นี้ตั้งขึ้นโดย
L.H.Bail. ส่วน Bull นั้นเป็นผู้ค้นพบพืชชนิดนี้ แต่ใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์อีกชื่อหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นชื่อพ้อง ชื่อที่ถูกต้องคือชื่อที่ตั้งขึ้นครั้งแรกเพียงชื่อเดียวเท่านั้น
- ชื่อของชนิดนั้นโดยปกตินิยมตั้งตามลักษณะ 4 ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
- ถิ่นกำเนิด (origin) เช่น Heliconia indica คำว่า indica หมายถึงประเทศ
อินเดีย
- ถิ่นที่อยู่ (habitat) เช่น Orontium aquaticum Linn. คำว่า aquaticum หมายถึงอยู่ในน้ำ
- ลักษณะเฉพาะตัว เช่น Saintpaulia ionantha Wendl. คำว่า ionantha หมายถึงลักษณะ
ดอกคล้ายดอกไวโอเลต
- ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่คนหรือสถานที่ เช่น Paphiopedilum sukhakulii มาจากนาม
สกุลของคุณประสัน สุขะกุล ผู้ค้นพบพืชต้นนี้ในประเทศไทยเป็นคนแรก , กันภัยมหิดล Afgekia mahidolae Burtt & Chermsirivathana คำว่า mahidolae ตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่สมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนี
โดยปกติแล้วพืชที่อยู่ในชนิดเดียวกันนั้น อาจจะมีลักษณะปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไป
เช่น มีสีต่างกันออกไป รูปร่างลักษณะของดอกเปลี่ยนไป ลักษณะของการเจริญเติบโตเปลี่ยนไป เป็นต้น ซึ่งพืชเหล่านั้นสามารถเจริญเติบโตในสภาพธรรมชาติและดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไปนักพฤกษศาสตร์ ก็จะตั้งชื่อพืชนั้นๆ เป็นพิเศษต่อไป โดยจะเพิ่มชื่อต่อท้ายที่เรียกกันว่า พันธุ์ (variety) แต่คำว่าพันธุ์ในความหมายของทางพืชสวนนั้นจะหมายถึงพรรณไม้ที่เกิดขึ้นจากการผสมพันธุ์ของมนุษย์ และนำมา
ปลูกเลี้ยง (cultivated plants or cultivated variety) เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า cultivar ใช้อักษรย่อ cv. หรือสัญลักษณ์ ซึ่งอาจเกิดจาก
- สายต้น (clone) เป็นพืชที่ได้มาจากการขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ (vegetative propagation) แล้วมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันโดยไม่จำเป็นต้องมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ก็ได้ แต่ทั้งนี้ cultivar ก็ไม่จำเป็นต้องเป็น clone เสมอไปก็ได้
- สายพันธุ์ (line) ได้จากการผสมพันธุ์พืชพันธุ์ใดพันธุ์หนึ่งซึ่งมีลักษณะเหมือนขยายพันธุ์โดยเมล็ดหรือสปอร์ แล้วยังคงลักษณะเดิมอยู่โดยการคัดเลือกจนได้พันธุ์ที่ดีใช้เป็นมาตรฐานได้
- ส่วนของพืชที่มีกรรมพันธุ์ผิดแปลกไป โดยจะมีลักษณะหนึ่งหรือหลายลักษณะต่างจาก cultivars
- F1 hybrid คือพันธุ์พืชซึ่งเกิดจากการผสมพันธุ์ 2 หรือมากกว่า 2 สายพันธุ์ขึ้นไป ที่อาจเป็น สายพันธุ์ (line) หรือเป็น สายต้น (clone)
ในกรณีที่พืชต้นนั้น ๆ เกิดการกลายพันธุ์หรือมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปจากต้นเดิมเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สีของผลหรือกลีบดอกเปลี่ยนไปเราจะจัดให้พืชต้นนี้อยู่ในชั้น Forma หรือ form เขียนอักษรย่อว่า f. อย่างไรก็ตาม ชั้นในการจำแนกที่เล็กที่สุดคือ clone หรือ individual เป็นพรรณแบบไม่ใช้เพศจากต้นที่กลายเป็นลักษณะเฉพาะอย่าง ไม่สามารถแบ่งแยกออกไปได้อีก เช่น ถ้าเราขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศจากต้นที่กลายลักษณะ (เช่น form) ต้นที่ได้ใหม่จะเป็น clone หรือ individual
- การแบ่งพันธุ์ไม้ตามลักษณะของเนื้อไม้
หมายถึง การแบ่งลักษณะพันธุ์ไม้ตามลักษณะของเนื้อไม้ ที่อาจแบ่งออกได้ 2 ลักษณะคือ
- ไม้เนื้ออ่อน (Herb และ Succulent Plants ) หมายถึงพันธุ์ไม้ที่มีน้ำในเนื้อไม้สูง จึงทำให้เนื้อไม้อ่อนอวบอิ่มไปด้วยน้ำ เมื่อระเหยน้ำออกจะทำให้รูปทรงของต้นไม้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก พันธุ์ไม้พวกนี้มีเนื้อเยื่อ(Cellulose) บางชนิดขึ้นอยู่ในที่มีความชื้นสูงและมีน้ำมาก แต่บางชนิดก็ขึ้นอยู่ในที่แห้งแล้ง และมีความสามารถเก็บน้ำไว้ในลำต้นได้ดี เช่น พวก (Cacti และ Succulent Plants) ทั่วๆไป พวกพืชผัก (Vegetable) ส่วนมากมีน้ำมาก พวกพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ ที่อยู่ในลักษณะนี้มีมากมายด้วยกัน เช่น ฤาษีผสม เยอบีร่า Fittonia Syngonium ฯลฯ พันธุ์ไม้พวกนี้ส่วนมากขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ แยกกอ และปักชำจากลำต้น
- ไม้เนื้อแข็ง (Woody plants)หมายถึงพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับบางชนิดที่มีเนื้อไม้(woody)ทำให้ลำต้นกิ่งก้านมีรูปทรงอยู่ได้ มีเนื้อเยื่อเจริญ (Cambium) ดังนั้นพันธุ์ไม้พวกนี้จึงสามารถขยายพันธุ์โดยการตอน ติดตา ทาบกิ่ง ปักชำ และต่อกิ่งได้ เพราะมีเนื้อไม้ที่ Cambium เจริญรวดเร็ว ไม้ดอกไม้ประดับที่อยู่ในประเภทนี้ก็มีมาก ซึ่งส่วนมากเป็นไม้พุ่มและต้นไม้ (tree) เช่นกุหลาบ โกสน เล็บครุฑ จำปา จำปี ยางอินเดีย ชบา เฟื่องฟ้า มะลิ ราตรี ยี่โถ ฯลฯ
- การแบ่งพันธุ์ไม้ตามถิ่นกำเนิด
ในที่นี้หมายถึง พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับที่มนุษย์นำมาเพาะปลูกโดยแยกออกตามถิ่นกำเนิด
ที่นำมาได้ 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
- ไม้ป่าหรือไม้พื้นเมือง (Wild and Native Plants) หมายถึงพันธุ์ไม้ที่มนุษย์นำมาจากถิ่นกำเนิดเดิมของมันโดยตรง เช่น นำมาจากป่าตามธรรมชาติของมันที่ขึ้นเจริญงอกงามอยู่ พันธุ์ไม้พวก
นี้จะมีลักษณะพื้นเมืองและป่าของมันอยู่มาก เมื่อนำเอามาปลูกในบ้านต่างถิ่นออกไปอาจมีการเปลี่ยนแปลง เช่น การเจริญเติบโตช้าไปหรืออาจตรงข้าม คือ เจริญเติบโตได้ดีขึ้น มีคุณสมบัติดีขึ้น
จากถิ่นฐานเดิมก็เป็นได้ พันธุ์ไม้พวกนี้เป็นพันธุ์ไม้ขึ้นตามธรรมชาติจริง ๆ ยังไม่ถูกดัดแปลง ปรุงแต่ง ให้ผิดไปจากเดิมโดยมนุษย์เลย
2.ไม้ลูกผสมและไม้พันธุ์แท้ หมายถึงพันธุ์ไม้ที่มนุษย์นำมาเพาะปลูก เลี้ยงดูให้การเอาใจใส่อย่างดี จนพันธุ์ไม้นั้นมีลักษณะนิสัยความเคยชินกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เปลี่ยนคุณสมบัติและความเจริญเติบโตได้ดีต่างกับลักษณะที่เคยอยู่ตามธรรมชาติไปมากหรือพันธุ์ไม้ป่าตามธรรมชาติที่ถูกมนุษย์ดัดแปลงปรุงแต่ง ให้มีคุณสมบัติผิดไปจากธรรมชาติเดิม เช่น การนำมาผสมพันธุ์แท้หรือนำมาผสมข้ามพันธุ์ เพื่อให้มีคุณสมบัติลักษณะตามความต้องการของตน พันธุ์ไม้ประเภทนี้ส่วนมากจะมีความแข็งแรงทนทานต่อดินฟ้าอากาศในธรรมชาติของมัน แต่เมื่อมนุษย์นำมาปรุงแต่งให้ผิดไปจากธรรมชาติแล้ว
เมื่อนำพันธุ์ไม้นั้น ๆ กลับไปปลูกในธรรมชาติเดิมของมัน อาจจะไม่มีความทนทานแข็งแรงเช่นเดิม
อาจไม่เจริญเติบโตได้เท่าที่เคยมีมาแล้วก็ได้ มีพันธุ์ป่าหลายชนิดที่กลายเป็นพันธุ์ไม้บ้านหรือกลายเป็นพันธุ์แท้ไปแล้วมากมาย ก็ด้วยการปรุงแต่งของมนุษย์
- การแบ่งพันธุ์ไม้ตามลักษณะนิสัยของอายุพันธุ์ไม้
พันธุ์ไม้ทั่ว ๆ ไปมีอายุยืนนานแตกต่างกัน บางชนิดอาจมีอายุยืนนาน แต่บางชนิดก็จบชีวิตลงใน
ระยะอันสั้น คงมีแต่เมล็ดหรือส่วนอื่นสืบพันธุ์แทนต่อไป ในรอบชีวิตหนึ่ง ๆ ของพันธุ์ไม้นั้น นับจากพันธุ์ไม้งอกงามจากเมล็ดจนเจริญเติบโต และออกดอกออกผลกลับมาเป็นเมล็ดเช่นเดิม ซึ่งอาจแบ่งอายุของพันธุ์ไม้ได้ 3 ลักษณะด้วยกันคือ
- Annuals หมายถึงพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับที่ทั่ว ๆ ไปเรียกว่าไม้ล้มลุก นับจากงอกจากเมล็ดจนเจริญเติบโต และออกดอกเป็นเมล็ดอีกครั้งหนึ่งนั้นอยู่ในระยะเวลาสั้น ไม่เกินหนึ่งปี ซึ่งส่วนมากพันธุ์ไม้ล้มลุกนี้เป็นพวกไม้ดอกหลายชนิดเช่น บานชื่น ดาวเรือง ผีเสื้อ บานไม่รู้โรย พิทูเนีย ทานตะวัน พันธุ์ไม้พวกนี้จะตายเมื่อออกดอกออกเมล็ดหมดแล้ว ดังนั้นพันธุ์ไม้พวกนี้ จึงมีอายุไม่เกินหนึ่งปี
- Biennials หมายถึงพันธุ์ไม้ที่มีอายุครบรอบหนึ่งๆ เกินกว่า 1 ปี หมายถึงว่าในปีแรกมีการเจริญเติบโตทางกิ่ง ใบ ลำต้น ในปีที่สองจึงออกดอกออกผล แล้วจึงจบชีวิตในรอบหนึ่งของมัน เช่น ซ่อนกลิ่นฝรั่ง(Gladiolus)
- Perennials หมายถึงพันธุ์ไม้ที่มีอายุนานกว่าสองปี บางชนิดอาจจะออกกอกในปีแรกก็ได้ แต่เมื่อออกดอกออกผลแล้วยังไม่ตายและจบชีวิต คงมีดอกมีผลเป็นครั้งที่ต่าง ๆ กัน ซึ่งมีทั้งต้นเล็กจนขนาดใหญ่ที่สุดก็ได้
- การแบ่งพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับตามลักษณะสิ่งแวดล้อมของแสง
พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิด ย่อมต้องการแสงสว่างในการเจริญเติบโตต่างกันบางชนิดก็ต้องการแสงแดดโดยตรงก็มี เช่น พวกกุหลาบหรือพวกทานตะวันหรือพันธุ์ไม้ใหญ่ ๆ แต่บางชนิดก็ต้องการแสงสว่างรำไร หรือไม่ต้องการแสงแดดโดยตรง หรือต้องการแสงเป็นบางส่วนของวันเท่านั้น ดังนั้น ในการจำแนกพันธุ์ไม้ตามลักษณะประเภทนี้จะช่วยให้เราเข้าใจได้ว่า ไม้ดอกไม้ประดับชนิดไหนมีความต้องการแสงอย่างไร เพื่อจะได้นำไปรักษาดูแลได้ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น พันธุ์ไม้พวกสาวน้อย
ประแป้ง นั้นไม่ชอบแสงแดดโดยตรง แต่มีผู้เลี้ยงต้นไม้หลายคนไม่เข้าใจนำไปปลูกลงในดินกลางแจ้ง ในไม่ช้าก็ไหม้และไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ ตามสิ่งแวดล้อมในเรื่องแสงกับพันธุ์ไม้ดอก
ไม้ประดับนี้แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทด้วยกันคือ
- ไม้ในร่ม (Indoor plants) พันธุ์ไม้พวกนี้ส่วนใหญ่มีใบหรือดอกที่บอบบางไม่สามารถทนทานต่อแสงแดดที่ร้อนหรือแสงสว่างที่มากเกินไป บางชนิดมีการระเหยน้ำได้สูงมาก ถ้าหากอยู่ใน
ที่มีแสงแดดแรง อุณหภูมิสูง การระเหยน้ำก็มีมากจนไม่สามารถทนอยู่ได้พันธุ์ไม้พวกนี้บางชนิดจะเจริญเติบโตได้ดีในที่มีแสงแดดอ่อน ๆ หรือในที่ที่มีความชื้นสูง ๆ มีลมสงบ จึงเหมาะที่จะนำมาปลูก
ในอาคาร ในร่ม เพื่อใช้ประดับตกแต่งอาคารภายใน นอกจากนี้ ยังมีพันธุ์ไม้อีกหลายชนิดที่ไม่สามารถทนทานกับความหนาวเย็นในอุณหภูมิที่ต่ำ ๆ ได้ เช่น ในเมืองหนาว จึงต้องนำมาปลูกในร่มหรือในบ้าน หรือในเรือนต้นไม้ที่เหมาะสมกับมันโดยเฉพาะ สำหรับในเมืองไทยเรามีพันธุ์ไม้หลายชนิดที่เจริญเติบโตได้ดีในร่ม ทั้งไม้ดอกและไม้ใบ เช่น หน้าวัว เฟิร์นต่าง ๆ ดาษตะกั่ว บอนต่าง ๆ Peperomia พวกกำมะหยี่ ( Episcia sp.) กล้วยไม้บางชนิด African violet สาวน้อยประแป้ง (Dieffenbachia) ไฮเดรนเยีย Dracaena บางชนิด และพวกไม้คลุมดินโคนต้นไม้ใหญ่ ๆ อีกมาก
- ไม้กลางแจ้ง (Outdoor plants) พันธุ์ไม้พวกนี้ขึ้นได้ดีเจริญเติบโตในที่มีแสงแดดส่อง
โดยตรงกลางแจ้ง ถ้านำมาปลูกในที่ร่มแล้วจะเจริญเติบโตหรือเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกส่วนของมันตามธรรมชาติ ถ้าปลูกพันธุ์ไม้พวกนี้ในร่มแล้วใบจะมีสีเขียวจัด ต้นสูงชะลูดไม่งาม ถ้าเป็นพันธุ์ไม้
ที่มีสีสันทางดอกหรือใบแล้ว สีจะเปลี่ยนแปลงเลวลง พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับประเภทนี้มีเป็นส่วนมากที่ต้องการแสงแดดโดยตรง เช่น สนต่าง ๆ ปาล์มหลายชนิด หมากผู้หมากเมีย ชบา เฟื่องฟ้า หางนกยูง ยี่โถ กุหลาบ เยอบีร่า บานชื่น ทานตะวัน ไผ่ต่าง ๆ และไม้ยืนต้นทั่ว ๆไป เช่น ประดู่ ลั่นทม
ราชพฤกษ์ ตะแบก นนทรีย์ เข็มต่าง ๆ
- ไม้น้ำ (Aquatic plants) พันธุ์ไม้น้ำนั้นก็มีทั้งพันธุ์ไม้ดอก เช่น บัวต่าง ๆ และพันธุ์ไม้ประดับพวกกกต่าง ๆ พันธุ์ไม้น้ำเหล่านี้ย่อมต้องการแสงสว่างไม่เหมือนกัน แต่ตามธรรมชาติของมันแล้ว พันธุ์ไม้น้ำที่ต้องการแสงสว่างน้อยก็จะจมอยู่ใต้ผิวน้ำเช่น พวกสันตะวา ใบพายและสาหร่าย
พันธุ์ไม้น้ำหลายชนิดที่นิยมนำมาปลูกในบ่อน้ำในสวน เพื่อตกแต่งสวนและบ่อน้ำให้น่าดูเหมือนธรรมชาติ
- การแบ่งพันธุ์ไม้ตามความมุ่งหมายที่จะใช้ประโยชน์
เป็นการจำแนกโดยอาศัยความต้องการหรือจุดมุ่งหมายที่จะนำพืชนั้น ๆ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านใด และใช้ส่วนไหนของพืช ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
- ไม้ดอก (Flowering plants) ความมุ่งหมายส่วนใหญ่ก็เพื่อต้องการใช้ดอกเป็นประโยชน์สำคัญ ลักษณะทรงต้นและใบจะไม่คำนึงถึงมากนัก ในการผลิตจึงมุ่งเน้นไปที่ดอก คือ ให้ปริมาณดอกมาก และคุณภาพของดอกต้องดีที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณค่าให้สูงขึ้นได้ และคุณภาพของดอกต้องดีที่สุดเท่าที่สามารถจะทำได้ ซึ่งอยู่ติดกับต้นไม้นิยมตัดดอก ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากลักษณะของดอก เช่น มีความยาว ก้านดอกสั้น กลีบดอกบาง มีอายุการใช้งานไม่คงทนเมื่อดอกออกจากต้น ส่วนมากจึงนิยมปลูกเป็นไม้กระถางหรือไม้จัดสวน ปลูกเป็นแปลงประดับตกแต่งอาคารสถานที่ให้เกิดความสวยงาม แต่อย่างไรก็ตามไม้ดอกบางชนิดก็มีคุณสมบัติเฉพาะที่ต่างออกไปเราจึงสามารถจำแนกไม้ดอกตามประโยชน์ใช้สอยได้เป็น
1.1 ไม้ตัดดอก (cut-flower plants) หมายถึงไม้ดอกที่ปลูกไว้เพื่อตัดดอกหรือช่อดอกมาใช้ประโยชน์ ไม้ดอกเหล่านี้ต้องมีคุณสมบัติเฉพาะหลายประการ เช่น รูปร่างลักษณะของดอก (form) สวยงาม สีสันเด่นสะดุดตา ก้านดอก มีความยาวและแข็งสามารถนำมาใช้ปักแจกันได้ กลีบดอกหนาทนทาน มีอายุการใช้งานของดอกที่ยาวนาน ไม่เหี่ยวแห้งง่าย สามารถเก็บรักษาได้ง่าย ทนทานต่อการขนส่ง ต้นออกดอกเกือบตลอดทั้งปี ปลูกเลี้ยงดูแลรักษาง่ายขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว
1.2 ไม้ดอกกระถาง (Flowering pot plants) หมายถึงไม้ดอกที่มีขนาดของทรงต้นกะทัดรัด ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป เมื่อนำมาปลูกในกระถางสามารถแยกเคลื่อนย้ายได้สะดวกต้นออกดอก และดอกมักจะบานพร้อม ๆกัน ในปัจจุบันไม้ดอกกระถางได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกไม้ดอกแต่พื้นที่จำกัด ทรงต้นของไม้ดอกกระถางอาจมีทั้งการเจริญเติบโตเป็นพุ่มตั้งตรง หรือค่อนไปทางทอดเลื้อยห้อยย้อยลงด้านล่างก็ได้
1.3 ไม้ดอกประดับแปลง (bedding plants) หมายถึงไม้ดอกที่สามารถนำมาปลูกลงดินได้เป็นจำนวนมากเพื่อความสวยงามให้อาคารสถานที่ ไม้ดอกกลุ่มนี้มักมีลักษณะเด่นคือเป็นไม้ดอกที่สามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยการเพาะเมล็ด ไม่ต้องการดูแลรักษามากนักปลูกเลี้ยงง่าย โตเร็ว เจริญเติบโตได้ดีในดินเกือบทุกประเภท ดอกดกและมักจะบานพร้อมๆ กัน หลังดอกบานแล้วต้นควรติดเมล็ด และเมล็ดเมื่อร่วงลงดินก็สามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้
- ไม่ใบ (foliage plants) ความมุ่งหมายสำคัญก็เพื่อใช้ประโยชน์จากใบและทรงต้นทั้งนี้ต้นอาจจะมีสีสัน รูปร่างลักษณะของใบหรือทรงต้นที่สวยงามอย่างใดอย่างหนึ่งหรืออาจจะทั้งสองอย่าง มักจะให้ความสนใจในเรื่องของดอกมากนัก ซึ่งไม้ใบบางชนิดอาจไม่เคยปรากฏดอกให้เห็นเลยก็ได้
ไม้ใบสามารถจำแนกตามประโยชน์ใช้สอยได้เป็น
2.1 ไม้ตัดใบ (cut-leaf plants) หมายถึงไม้ใบที่มีลักษณะรูปร่างและสีสันของใบที่สวยงาม มุ่งเน้นที่จะใช้ความงามของใบเป็นหลัก โดยการตัดใบไปใช้ปักแจกันร่วมกับไม้ดอกอื่น ๆ
2.2 ไม้ใบกระถาง (foliage pot plants) หมายถึงไม้ใบที่มีความสวยงามของทรงต้นและใบ
ที่เด่นสะดุดตา เมื่อนำมาปลูกในกระถาง สามารถยกเคลื่อนย้ายได้สะดวกโดยเฉพาะการนำต้นไม้มาประดับตกแต่งภายในอาคาร ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่นิยมใช้ไม้ใบมากกว่าไม้ดอก เนื่องจากมีลักษณะรูปร่าง และทรงต้นให้เลือกได้มากมายหลายชนิด และเมื่อต้นไม้ได้พักฟื้นแล้วก็สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก ดังนั้นไม้ใบประเภทนี้จึงต้องเป็นพืชที่ปลูกเลี้ยงและดูแลรักษาง่าย ฟื้นตัวเร็ว ทนต่อการขนย้าย และการเจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มหรือกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นพืชที่เจริญเติบโตในแนวตั้งหรือเลื้อยทอดยอดลง
2.3 ไม้ใบประดับแปลง ( bedding plants ) หมายถึงไม้ใบที่สามารถปลูกลงดินเป็นแปลงเพื่อใช้ประดับตกแต่งอาคารสถานที่ใช้ประโยชน์ในแง่การจัดสวนเป็นหลัก ไม้ใบประเภทนี้ต้องสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีปักชำแยกหน่อหรือกอและตอนกิ่งได้ง่าย ต้นมีทรงพุ่มรูปร่างและสีสันของใบสวยงาม สามารถนำมาปลูกประดับได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงดอก
2.4 ไม้ดัดและไม้แคระ ( miniature & bonsai ) หมายถึง ไม้ใบหรือพันธุ์ไม้ที่ใช้ความสวยงามจากลักษณะรูปร่างของต้น กิ่ง ใบ ดอกและผลเป็นสำคัญ สำหรับไม้ดัดเป็นการบังคับให้ต้นพืชมีการเจริญเติบโตตามลักษณะต้องการซึ่งต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ ใช้ความอุตสาหะและระยะเวลาที่ยาวนาน โดยปลูกลงดินหรือในกระถาง ส่วนไม้แคระเป็นการย่อส่วนต้นไม้ให้มีขนาดเล็กลงแต่เลียนแบบธรรมชาติ โดยนำมาปลูกในกระถางหรือภาชนะปลูกที่จำกัดขนาดเพื่อควบคุมให้ต้นแคระแกร็น ไม้ดัดและไม้แคระมักมีอายุยืนนานและมีราคาสูงกว่าไม้ประดับประเภทอื่น จึงถือเป็นไม้ประดับที่มีคุณค่าความงามในเชิงศิลปะ
- การแบ่งพันธุ์ไม้ตามช่วงความยาวแสง
พืชที่ให้ดอกให้ผลต้องการแสงในการสร้างผลผลิต ช่วงความยาวของแสงต่อวันที่พืชได้รับ
มีอิทธิพลต่อการเกิดดอก เราสามารถยับยั้งการเกิดดอก เพื่อให้พืชมีการเจริญทางกิ่งก้านมากขึ้น หรือบังคับให้พืชออกดอกในช่วงเวลาที่ต้องการได้ จึงมีประโยชน์ในการผสมพันธุ์พืช การแบ่งพันธุ์ไม้ตามช่วงความยาวแสสง แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
- พืชวันสั้น (short day plants) หมายถึงพืชที่ต้องการช่วงของแสงสว่างในการออกดอก
แต่ละวันสั้นประมาณ 10 ชั่วโมงต่อวันหรือน้อยกว่านี้ เพื่อกระตุ้นให้เกิดตาดอกถ้าได้รับแสงต่อวันมากกว่านี้ พืชจะไม่ออกดอก เช่น เบญจมาศ คริสต์มาส เป็นต้น ดังนั้นในช่วงฤดูร้อนที่มีช่วงวันยาวพืชเหล่านี้จะเจริญเติบโตทางลำต้น
- พืชวันยาว (long day palnts) หมายถึงพืชที่ต้องการช่วงแสงสว่างในแต่ละวัน เพื่อการเกิดดอกและติดผล ประมาณวันละ 14 ชั่วโมงหรือมากกว่านี้ ได้แก่ ดาวเรือง บานชื่น เป็นต้น
พืชดังกล่าวถ้าได้รับแสงน้อยกว่านี้จะไม่ออกดอก ดังนั้นในฤดูหนาวซึ่งมีช่วงวันสั้น พืชประเภทนี้
จะเจริญเติบโตทางลำต้นและใบเท่านั้น
- พืชวันกลาง (day neutrtal palnts) หมายถึงพืชที่ไม่ต้องอาศัยช่วงแสงในแต่ละวันใน
การออกดอก สามารถเจริญเติบโตให้ดอกติดผลได้ไม่ว่าจะเป็นช่วงวันสั้นหรือช่วงวันยาว กล่าวคือ
พืชเหล่านี้ถ้าครบกำหนดอายุการออกดอกก็ให้ดอกได้ไม่ว่าจะอยู่ในระยะช่วงแสงใด
- การแบ่งพันธุ์ไม้ตามลักษณะของต้น
เป็นการจำแนก โดยพิจารณาลักษณะของลำต้น การแตกกิ่งก้าน และการเจริญเติบโตของ
ต้นเป็นสำคัญ สามารถแบ่งได้เป็น
- ไม้ยืนต้น (tree) หมายถึงพืชที่มีลำต้นเดี่ยว เจริญเติบโตในแนวตั้งตรง มีการแตกกิ่ง
ก้านอย่างอิสระโดยไม่ต้องยึดเกาะกับต้นไม้หรือวัสดุอื่น ๆ ต้นมีความสูงมากกว่า 6 เมตรส่วนมากมีอายุยืนนานและมีเนื้อไม้ อาจเป็นพวกเนื้อไม้อ่อนหรือไม้เนื้อแข็ง ทรงต้นมีรูปร่างแตกต่างกันไป มีทั้งสูงชะลูดหรือแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้างซึ่งมีลักษณะเป็นพุ่มหรือมีดอกที่สวยงาม บางชนิดอาจทิ้งใบหมดขณะที่ออกดอกหรือออกดอกพร้อมใบ สวนใหญ่นิยมปลูกเป็นไม้ยืนต้นเพื่อให้ร่มเงา ลดความร้อนและใช้ประโยชน์ประดับอาคารสถานที่
- ไม้พุ่ม (shrub) หมายถึงพืชที่มีลำต้นตั้งตรงเป็นอิสระโดยที่ไม่ต้องยึดเกาะกับต้นไม้
หรือวัสดุอื่น ๆ เพื่อช่วยในการเจริญเติบโต มีอายุนานหลายปีและมีความสูงไม่มากนัก ต้นจะแตกกิ่งก้านในระดับต่ำ ไม่สูงจากพื้นมากนัก ต้น จึงมีรูปทรงเป็นพุ่ม สามารถตัดแต่งให้มีลักษณะตามที่ต้องการได้ นิยมปลูกไม้พุ่มประดับสถานที่หรือปลูกเป็นแนวรั้วได้
- ไม้เลื้อย (climber or vine) หมายถึงพืชที่มีลักษณะลำต้นที่ต้องอาศัยยึดพิงกับต้นไม้
หรือวัสดุอื่น ๆ ถ้าไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวต้นก็มักจะเลื้อยทอดไปตามพื้นดิน ต้นไม้ประเภทนี้มักมีอวัยวะ
ยึดเกาะ เช่น มือเกาะ หรือใช้ส่วนของเถาหรือลำต้นพันรอบ ๆ สิ่งยึดเหนี่ยวเพื่อเจริญเติบโตต่อไป
ต้นมักมีการเจริญเติบโตในแนวยาวมากกว่าเจริญออกทางด้านข้าง ไม้เลื้อย มีทั้งประเภทลำต้นมีเนื้อไม้
มีอายุนานหลายปี ซึ่งจะเรียกว่า “ไม้เถายืนต้น” (wood climber) และที่เป็นไม้เลื้อยล้มลุกที่เรียกว่า
“ไม้เถาล้มลุก” (herbaceous climber)
- ไม้หัว (ornamental bulb) หมายถึงพืชที่มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ลำต้นนั้นจะมีลักษณะเป็นหัว
หรือเป็นส่วนของก้านใบที่อัดติดกันแน่น ไม้หัวโดยทั่วไปจะมีลักษณะเด่นที่สำคัญคือหัวจะมีลักษณะค่อนข้างอวบน้ำ ทำหน้าที่สะสมอาหารส่วนของตาจะมีสิ่งปกคลุมช่วยป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น สิ่งปกคลุมนั้นอาจมีลักษณะคล้ายขน เป็นแผ่นเยื่อบาง ๆ ต้นจะมีการพักตัวเมื่อสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ผู้ปลูกสามารถขุดหัวขึ้นมาจากดินเพื่อเก็บรักษาไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งได้