1 ปัจจัยในการขยายพันธุ์พืช(ปัจจัยในการงอกของเมล็ด)
การเพาะเมล็ดพืชพบว่าบางครั้งเพาะแล้วไม่งอก หรือเมล็ดงอกน้อยหรือต้นกล้าที่งอกไม่แข็งแรง ปัญหาต่างๆ เหล่านี้เกี่ยวข้องอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
1) ความมีชีวิตของเมล็ด เมล็ดที่จะงอกได้ต้องมีชีวิต ความมีชีวิตของเมล็ดสูญเสียไปได้ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น เก็บรักษาไว้นานเกินไป เมล็ดแตกหัก โรคแมลงเข้าทำลาย หรือได้รับสภาวะแวดล้อมในการเก็บรักษาไม่เหมาะสม เช่น ร้อนและชื้นเกินไป เป็นต้น ถ้าเมล็ดที่จะนำมาเพาะตาย หรือสูญเสียความงอก ไปแล้วทั้งหมดจะเพาะไม่งอกเลย หรือหากสูญเสียความงอกไปเพียงบางส่วน เมล็ดส่วนที่มีชีวิตเท่านั้นจึงจะเพาะให้งอกได้
2) การพักตัวของเมล็ด เมล็ดพืชบางชนิดหลังจากที่เก็บเกี่ยวมาจากต้นแล้วจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่ต่ำมากชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ สภาพของเมล็ดขณะนั้นเรียกว่าอยู่ในระยะการพักตัว ถ้านำเมล็ดดังกล่าวไปเพาะจะไม่งอกจะต้องหาทางแก้ไขสาเหตุของการพักตัวเมล็ดนั้นเสียก่อน จึงจะเพาะให้งอกได้ การพักตัวของเมล็ดมีสาเหตุใหญ่ๆ 2 ประการคือ
2.1) เนื่องจากเปลือกเมล็ดที่หนา แข็ง จนน้ำและอากาศซึมเข้าไปในเมล็ดไม่ได้ หรือได้ยาก แม้น้ำหรืออากาศจะซึมเข้าไปในเมล็ดได้ แต่เปลือกที่หนาและแข็งจะป้องกันไม่ให้คัพภะงอกออกมาได้ การแก้ไขทำได้โดยทำให้เปลือกเมล็ดอ่อนตัวลง หรือแตกเป็นรอยก่อนที่จะเพาะ
2.2) เนื่องจากสภาพภายในเมล็ดยังไม่พร้อมที่จะงอก เช่น คัพภะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งที่ฝักหรือผลนั้นแก่แล้ว เช่น ฝักกล้วยไม้ อาหารสะสมภายในเมล็ดไม่เพียงพอ เพาะก็งอกน้อย เป็นต้น เมล็ดประเภทนี้แม้จะดูภายนอกว่าแก่แล้วแต่ต้องรอไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้คัพภะเจริญเติบโตเต็มที่เสียก่อนจึงจะเพาะให้งอกได้ หรือไม่อาจใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อทำลาย การพักตัวนั้นจะทำให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น
3) น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการงอกของเมล็ด โดยน้ำจะทำให้เปลือกเมล็ดอ่อนตัวลง ช่วยให้อาหารสะสมในเมล็ดแตกตัวเล็กลงหรืออยู่ในรูปที่ละลายน้ำ และน้ำเป็นตัวกลางลำเลียงอาหารและฮอร์โมนที่ละลายน้ำได้ไปสู่เยื่อเจริญ เป็นต้น การเพาะเมล็ดจึงต้องให้น้ำและความชื้นที่เหมาะสม แต่ไม่มากเกินไปจนน้ำขังแฉะ จะทำให้เมล็ดขาดอากาศหายใจในการ เตรียมวัสดุเพาะจะต้องคำนึงถึงการดูดซับและระบายน้ำ
4) อากาศ อากาศหรือแก๊สที่สำคัญต่อการงอกของเมล็ดคือ ออกซิเจน การเพาะเมล็ดโดยการฝังดินลึกเกินไป หรือทำให้น้ำท่วมเมล็ดอยู่นาน จะทำให้เมล็ดขาดแก๊สออกซิเจนได้ ความต้องการแก๊สออกซิเจนของเมล็ดพืชต่างๆ จะแตกต่างกัน โดยทั่วไปเมล็ดที่มีอาหารสะสมมากจะต้องการแก๊สออกซิเจนมาก และเมล็ดที่มีอาหารสะสมเป็นน้ำมันจะต้องการแก๊สออกซิเจนมากกว่าเมล็ดที่มีอาหารสะสมเป็นแป้ง ฉะนั้นการฝังเมล็ดลงไปในวัสดุเพาะให้ลึกมากน้อยแค่ไหนจะต้องคำนึงถึงความต้องการอากาศโดยเฉพาะแก๊สออกซิเจนด้วย
5) อุณหภูมิ มีความสำคัญต่อการงอกของเมล็ดโดยทั่วไปอุณหภูมิสูงจะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น เพราะไปเร่งอัตราการดูดน้ำเข้าไปในเมล็ด และเร่งกระบวนการทางเมแทบอลิซึมสำหรับการงอก แต่ถ้าระดับอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไปกว่าระดับที่เมล็ดชนิดนั้นๆ จะทนได้เมล็ดจะไม่งอก จากการทดลองพบว่าอุณหภูมิของวัสดุเพาะที่เมล็ดทุกชนิด จะมีชีวิต อยู่ได้โดย ไม่ได้รับอันตรายจะต้องไม่สูงกว่า 30-40° C
6) แสง มีผลสนับสนุนหรือยับยั้งการงอกของเมล็ดพืชหลายชนิด แสงมีบทบาทต่อการเพาะเมล็ดสองประการคือ มีบทบาทต่อการงอกของเมล็ด และต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้า อิทธิพลของแสงที่มีต่อการงอกของเมล็ดแบ่งออกได้ 4 กลุ่มคือ (รูปที่ 7.3)
6.1) เมล็ดที่ต้องการแสงในการงอก ถ้าไม่มีแสงเลยเมล็ดประเภทนี้จะไม่งอกหรือถ้าเก็บรักษาเมล็ดไว้ไม่ให้ได้รับแสงเลยราว 2-3 สัปดาห์ เมล็ดจะสูญเสียความงอกตัวอย่างเช่นเมล็ดกล้วยไม้เป็นต้น
6.2) เมล็ดที่ชอบแสง เมล็ดประเภทนี้จะงอกได้ดีขึ้นถ้าได้รับแสง แต่ในที่ไม่มีแสงก็อาจจะงอกได้ แต่การงอกไม่ดีเท่าที่มีแสง ตัวอย่างเช่น เมล็ดยาสูบ เมล็ดผักกาดหอม เป็นต้น
6.3) เมล็ดที่ไม่ต้องการแสง หากเพาะเมล็ดประเภทนี้ให้ได้รับแสงจะไม่มีการงอก ตัวอย่างเช่น เมล็ดหงอนไก่ เมล็ดบานไม่รู้โรย เป็นต้น
6.4) เมล็ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับแสง ขณะที่เพาะเมล็ดจะมีแสงหรือไม่มีแสงก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อการงอกของเมล็ดประเภทนี้ และเมล็ดพืชส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับแสง
การฝังเมล็ดลงในวัสดุเพาะให้ตื้นหรือลึกมากน้อยแค่ไหนจะต้องคำนึงเรื่องแสงด้วย ส่วนอิทธิพลของแสงที่มีต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้านั้น สังเกตได้จากต้นกล้าที่ได้รับแสงไม่เพียงพอ จะมีลำต้นยืดยาว สีซีด ส่วนต้นกล้าที่ได้รับแสงเพียงพอจะเจริญเติบโตเป็นปกติ มีสีเขียว แข็งแรง ในระยะที่ต้นกล้าเริ่มงอกใหม่ๆ จะอาศัยอาหารสะสมใน เมล็ดก่อน หลังจากที่ต้นเจริญเติบโตมีสีเขียวทำหน้าที่สังเคราะห์แสงได้แล้ว ต้นกล้าจึงต้องการแสงแดดสำหรับการปรุงอาหาร แต่เนื่องจากแสงแดดจ้าจะมีความร้อนสูงและต้นกล้าอ่อนยังไม่แข็งแรงพอ จึงควรพรางแสงในช่วงแดดจัดหรือให้พอดีกับความต้องการของต้นกล้า ไม่ให้ต้นกล้าได้รับแสงแดดมากเกินไปจนเหี่ยวหรือได้รับแสงแดด
ปัจจัยการงอกของเมล็ดมีปัจจัยอะไรบ้าง
การเพาะเมล็ดพืชพบว่าบางครั้งเพาะแล้วไม่งอก หรือเมล็ดงอกน้อยหรือต้นกล้าที่งอกไม่แข็งแรง ปัญหาต่างๆ เหล่านี้เกี่ยวข้องอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
1) ความมีชีวิตของเมล็ด เมล็ดที่จะงอกได้ต้องมีชีวิต ความมีชีวิตของเมล็ดสูญเสียไปได้ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น เก็บรักษาไว้นานเกินไป เมล็ดแตกหัก โรคแมลงเข้าทำลาย หรือได้รับสภาวะแวดล้อมในการเก็บรักษาไม่เหมาะสม เช่น ร้อนและชื้นเกินไป เป็นต้น ถ้าเมล็ดที่จะนำมาเพาะตาย หรือสูญเสียความงอก ไปแล้วทั้งหมดจะเพาะไม่งอกเลย หรือหากสูญเสียความงอกไปเพียงบางส่วน เมล็ดส่วนที่มีชีวิตเท่านั้นจึงจะเพาะให้งอกได้
2) การพักตัวของเมล็ด เมล็ดพืชบางชนิดหลังจากที่เก็บเกี่ยวมาจากต้นแล้วจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่ต่ำมากชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ สภาพของเมล็ดขณะนั้นเรียกว่าอยู่ในระยะการพักตัว ถ้านำเมล็ดดังกล่าวไปเพาะจะไม่งอกจะต้องหาทางแก้ไขสาเหตุของการพักตัวเมล็ดนั้นเสียก่อน จึงจะเพาะให้งอกได้ การพักตัวของเมล็ดมีสาเหตุใหญ่ๆ 2 ประการคือ
2.1) เนื่องจากเปลือกเมล็ดที่หนา แข็ง จนน้ำและอากาศซึมเข้าไปในเมล็ดไม่ได้ หรือได้ยาก แม้น้ำหรืออากาศจะซึมเข้าไปในเมล็ดได้ แต่เปลือกที่หนาและแข็งจะป้องกันไม่ให้คัพภะงอกออกมาได้ การแก้ไขทำได้โดยทำให้เปลือกเมล็ดอ่อนตัวลง หรือแตกเป็นรอยก่อนที่จะเพาะ
2.2) เนื่องจากสภาพภายในเมล็ดยังไม่พร้อมที่จะงอก เช่น คัพภะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งที่ฝักหรือผลนั้นแก่แล้ว เช่น ฝักกล้วยไม้ อาหารสะสมภายในเมล็ดไม่เพียงพอ เพาะก็งอกน้อย เป็นต้น เมล็ดประเภทนี้แม้จะดูภายนอกว่าแก่แล้วแต่ต้องรอไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้คัพภะเจริญเติบโตเต็มที่เสียก่อนจึงจะเพาะให้งอกได้ หรือไม่อาจใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อทำลาย การพักตัวนั้นจะทำให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น
3) น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการงอกของเมล็ด โดยน้ำจะทำให้เปลือกเมล็ดอ่อนตัวลง ช่วยให้อาหารสะสมในเมล็ดแตกตัวเล็กลงหรืออยู่ในรูปที่ละลายน้ำ และน้ำเป็นตัวกลางลำเลียงอาหารและฮอร์โมนที่ละลายน้ำได้ไปสู่เยื่อเจริญ เป็นต้น การเพาะเมล็ดจึงต้องให้น้ำและความชื้นที่เหมาะสม แต่ไม่มากเกินไปจนน้ำขังแฉะ จะทำให้เมล็ดขาดอากาศหายใจในการ เตรียมวัสดุเพาะจะต้องคำนึงถึงการดูดซับและระบายน้ำ
4) อากาศ อากาศหรือแก๊สที่สำคัญต่อการงอกของเมล็ดคือ ออกซิเจน การเพาะเมล็ดโดยการฝังดินลึกเกินไป หรือทำให้น้ำท่วมเมล็ดอยู่นาน จะทำให้เมล็ดขาดแก๊สออกซิเจนได้ ความต้องการแก๊สออกซิเจนของเมล็ดพืชต่างๆ จะแตกต่างกัน โดยทั่วไปเมล็ดที่มีอาหารสะสมมากจะต้องการแก๊สออกซิเจนมาก และเมล็ดที่มีอาหารสะสมเป็นน้ำมันจะต้องการแก๊สออกซิเจนมากกว่าเมล็ดที่มีอาหารสะสมเป็นแป้ง ฉะนั้นการฝังเมล็ดลงไปในวัสดุเพาะให้ลึกมากน้อยแค่ไหนจะต้องคำนึงถึงความต้องการอากาศโดยเฉพาะแก๊สออกซิเจนด้วย
5) อุณหภูมิ มีความสำคัญต่อการงอกของเมล็ดโดยทั่วไปอุณหภูมิสูงจะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น เพราะไปเร่งอัตราการดูดน้ำเข้าไปในเมล็ด และเร่งกระบวนการทางเมแทบอลิซึมสำหรับการงอก แต่ถ้าระดับอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไปกว่าระดับที่เมล็ดชนิดนั้นๆ จะทนได้เมล็ดจะไม่งอก จากการทดลองพบว่าอุณหภูมิของวัสดุเพาะที่เมล็ดทุกชนิด จะมีชีวิต อยู่ได้โดย ไม่ได้รับอันตรายจะต้องไม่สูงกว่า 30-40° C
6) แสง มีผลสนับสนุนหรือยับยั้งการงอกของเมล็ดพืชหลายชนิด แสงมีบทบาทต่อการเพาะเมล็ดสองประการคือ มีบทบาทต่อการงอกของเมล็ด และต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้า อิทธิพลของแสงที่มีต่อการงอกของเมล็ดแบ่งออกได้ 4 กลุ่มคือ (รูปที่ 7.3)
6.1) เมล็ดที่ต้องการแสงในการงอก ถ้าไม่มีแสงเลยเมล็ดประเภทนี้จะไม่งอกหรือถ้าเก็บรักษาเมล็ดไว้ไม่ให้ได้รับแสงเลยราว 2-3 สัปดาห์ เมล็ดจะสูญเสียความงอกตัวอย่างเช่นเมล็ดกล้วยไม้เป็นต้น
6.2) เมล็ดที่ชอบแสง เมล็ดประเภทนี้จะงอกได้ดีขึ้นถ้าได้รับแสง แต่ในที่ไม่มีแสงก็อาจจะงอกได้ แต่การงอกไม่ดีเท่าที่มีแสง ตัวอย่างเช่น เมล็ดยาสูบ เมล็ดผักกาดหอม เป็นต้น
6.3) เมล็ดที่ไม่ต้องการแสง หากเพาะเมล็ดประเภทนี้ให้ได้รับแสงจะไม่มีการงอก ตัวอย่างเช่น เมล็ดหงอนไก่ เมล็ดบานไม่รู้โรย เป็นต้น
6.4) เมล็ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับแสง ขณะที่เพาะเมล็ดจะมีแสงหรือไม่มีแสงก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อการงอกของเมล็ดประเภทนี้ และเมล็ดพืชส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับแสง
การฝังเมล็ดลงในวัสดุเพาะให้ตื้นหรือลึกมากน้อยแค่ไหนจะต้องคำนึงเรื่องแสงด้วย ส่วนอิทธิพลของแสงที่มีต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้านั้น สังเกตได้จากต้นกล้าที่ได้รับแสงไม่เพียงพอ จะมีลำต้นยืดยาว สีซีด ส่วนต้นกล้าที่ได้รับแสงเพียงพอจะเจริญเติบโตเป็นปกติ มีสีเขียว แข็งแรง ในระยะที่ต้นกล้าเริ่มงอกใหม่ๆ จะอาศัยอาหารสะสมใน เมล็ดก่อน หลังจากที่ต้นเจริญเติบโตมีสีเขียวทำหน้าที่สังเคราะห์แสงได้แล้ว ต้นกล้าจึงต้องการแสงแดดสำหรับการปรุงอาหาร แต่เนื่องจากแสงแดดจ้าจะมีความร้อนสูงและต้นกล้าอ่อนยังไม่แข็งแรงพอ จึงควรพรางแสงในช่วงแดดจัดหรือให้พอดีกับความต้องการของต้นกล้า ไม่ให้ต้นกล้าได้รับแสงแดดมากเกินไปจนเหี่ยวหรือได้รับแสงแด
ปัจจัยในการขยายพันธุ์พืช(ปัจจัยในการงอกของเมล็ด)
การเพาะเมล็ดพืชพบว่าบางครั้งเพาะแล้วไม่งอก หรือเมล็ดงอกน้อยหรือต้นกล้าที่งอกไม่แข็งแรง ปัญหาต่างๆ เหล่านี้เกี่ยวข้องอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
1) ความมีชีวิตของเมล็ด เมล็ดที่จะงอกได้ต้องมีชีวิต ความมีชีวิตของเมล็ดสูญเสียไปได้ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น เก็บรักษาไว้นานเกินไป เมล็ดแตกหัก โรคแมลงเข้าทำลาย หรือได้รับสภาวะแวดล้อมในการเก็บรักษาไม่เหมาะสม เช่น ร้อนและชื้นเกินไป เป็นต้น ถ้าเมล็ดที่จะนำมาเพาะตาย หรือสูญเสียความงอก ไปแล้วทั้งหมดจะเพาะไม่งอกเลย หรือหากสูญเสียความงอกไปเพียงบางส่วน เมล็ดส่วนที่มีชีวิตเท่านั้นจึงจะเพาะให้งอกได้
2) การพักตัวของเมล็ด เมล็ดพืชบางชนิดหลังจากที่เก็บเกี่ยวมาจากต้นแล้วจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่ต่ำมากชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ สภาพของเมล็ดขณะนั้นเรียกว่าอยู่ในระยะการพักตัว ถ้านำเมล็ดดังกล่าวไปเพาะจะไม่งอกจะต้องหาทางแก้ไขสาเหตุของการพักตัวเมล็ดนั้นเสียก่อน จึงจะเพาะให้งอกได้ การพักตัวของเมล็ดมีสาเหตุใหญ่ๆ 2 ประการคือ
2.1) เนื่องจากเปลือกเมล็ดที่หนา แข็ง จนน้ำและอากาศซึมเข้าไปในเมล็ดไม่ได้ หรือได้ยาก แม้น้ำหรืออากาศจะซึมเข้าไปในเมล็ดได้ แต่เปลือกที่หนาและแข็งจะป้องกันไม่ให้คัพภะงอกออกมาได้ การแก้ไขทำได้โดยทำให้เปลือกเมล็ดอ่อนตัวลง หรือแตกเป็นรอยก่อนที่จะเพาะ
2.2) เนื่องจากสภาพภายในเมล็ดยังไม่พร้อมที่จะงอก เช่น คัพภะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งที่ฝักหรือผลนั้นแก่แล้ว เช่น ฝักกล้วยไม้ อาหารสะสมภายในเมล็ดไม่เพียงพอ เพาะก็งอกน้อย เป็นต้น เมล็ดประเภทนี้แม้จะดูภายนอกว่าแก่แล้วแต่ต้องรอไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้คัพภะเจริญเติบโตเต็มที่เสียก่อนจึงจะเพาะให้งอกได้ หรือไม่อาจใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อทำลาย การพักตัวนั้นจะทำให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น
3) น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการงอกของเมล็ด โดยน้ำจะทำให้เปลือกเมล็ดอ่อนตัวลง ช่วยให้อาหารสะสมในเมล็ดแตกตัวเล็กลงหรืออยู่ในรูปที่ละลายน้ำ และน้ำเป็นตัวกลางลำเลียงอาหารและฮอร์โมนที่ละลายน้ำได้ไปสู่เยื่อเจริญ เป็นต้น การเพาะเมล็ดจึงต้องให้น้ำและความชื้นที่เหมาะสม แต่ไม่มากเกินไปจนน้ำขังแฉะ จะทำให้เมล็ดขาดอากาศหายใจในการ เตรียมวัสดุเพาะจะต้องคำนึงถึงการดูดซับและระบายน้ำ
4) อากาศ อากาศหรือแก๊สที่สำคัญต่อการงอกของเมล็ดคือ ออกซิเจน การเพาะเมล็ดโดยการฝังดินลึกเกินไป หรือทำให้น้ำท่วมเมล็ดอยู่นาน จะทำให้เมล็ดขาดแก๊สออกซิเจนได้ ความต้องการแก๊สออกซิเจนของเมล็ดพืชต่างๆ จะแตกต่างกัน โดยทั่วไปเมล็ดที่มีอาหารสะสมมากจะต้องการแก๊สออกซิเจนมาก และเมล็ดที่มีอาหารสะสมเป็นน้ำมันจะต้องการแก๊สออกซิเจนมากกว่าเมล็ดที่มีอาหารสะสมเป็นแป้ง ฉะนั้นการฝังเมล็ดลงไปในวัสดุเพาะให้ลึกมากน้อยแค่ไหนจะต้องคำนึงถึงความต้องการอากาศโดยเฉพาะแก๊สออกซิเจนด้วย
5) อุณหภูมิ มีความสำคัญต่อการงอกของเมล็ดโดยทั่วไปอุณหภูมิสูงจะช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น เพราะไปเร่งอัตราการดูดน้ำเข้าไปในเมล็ด และเร่งกระบวนการทางเมแทบอลิซึมสำหรับการงอก แต่ถ้าระดับอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไปกว่าระดับที่เมล็ดชนิดนั้นๆ จะทนได้เมล็ดจะไม่งอก จากการทดลองพบว่าอุณหภูมิของวัสดุเพาะที่เมล็ดทุกชนิด จะมีชีวิต อยู่ได้โดย ไม่ได้รับอันตรายจะต้องไม่สูงกว่า 30-40° C
6) แสง มีผลสนับสนุนหรือยับยั้งการงอกของเมล็ดพืชหลายชนิด แสงมีบทบาทต่อการเพาะเมล็ดสองประการคือ มีบทบาทต่อการงอกของเมล็ด และต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้า อิทธิพลของแสงที่มีต่อการงอกของเมล็ดแบ่งออกได้ 4 กลุ่มคือ (รูปที่ 7.3)
6.1) เมล็ดที่ต้องการแสงในการงอก ถ้าไม่มีแสงเลยเมล็ดประเภทนี้จะไม่งอกหรือถ้าเก็บรักษาเมล็ดไว้ไม่ให้ได้รับแสงเลยราว 2-3 สัปดาห์ เมล็ดจะสูญเสียความงอกตัวอย่างเช่นเมล็ดกล้วยไม้เป็นต้น
6.2) เมล็ดที่ชอบแสง เมล็ดประเภทนี้จะงอกได้ดีขึ้นถ้าได้รับแสง แต่ในที่ไม่มีแสงก็อาจจะงอกได้ แต่การงอกไม่ดีเท่าที่มีแสง ตัวอย่างเช่น เมล็ดยาสูบ เมล็ดผักกาดหอม เป็นต้น
6.3) เมล็ดที่ไม่ต้องการแสง หากเพาะเมล็ดประเภทนี้ให้ได้รับแสงจะไม่มีการงอก ตัวอย่างเช่น เมล็ดหงอนไก่ เมล็ดบานไม่รู้โรย เป็นต้น
6.4) เมล็ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับแสง ขณะที่เพาะเมล็ดจะมีแสงหรือไม่มีแสงก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อการงอกของเมล็ดประเภทนี้ และเมล็ดพืชส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับแสง
การฝังเมล็ดลงในวัสดุเพาะให้ตื้นหรือลึกมากน้อยแค่ไหนจะต้องคำนึงเรื่องแสงด้วย ส่วนอิทธิพลของแสงที่มีต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้านั้น สังเกตได้จากต้นกล้าที่ได้รับแสงไม่เพียงพอ จะมีลำต้นยืดยาว สีซีด ส่วนต้นกล้าที่ได้รับแสงเพียงพอจะเจริญเติบโตเป็นปกติ มีสีเขียว แข็งแรง ในระยะที่ต้นกล้าเริ่มงอกใหม่ๆ จะอาศัยอาหารสะสมใน เมล็ดก่อน หลังจากที่ต้นเจริญเติบโตมีสีเขียวทำหน้าที่สังเคราะห์แสงได้แล้ว ต้นกล้าจึงต้องการแสงแดดสำหรับการปรุงอาหาร แต่เนื่องจากแสงแดดจ้าจะมีความร้อนสูงและต้นกล้าอ่อนยังไม่แข็งแรงพอ จึงควรพรางแสงในช่วงแดดจัดหรือให้พอดีกับความต้องการของต้นกล้า ไม่ให้ต้นกล้าได้รับแสงแดดมากเกินไปจนเหี่ยวหรือได้รับแสงแดด
7) ฤดูกาล โดยทั่วไปการขยายพันธุ์พืชในเขตร้อนโดยการติดตาต่อกิ่ง ทาบกิ่ง หรือปักชำ นิยมทำกันในฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฟ้าอากาศมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่อย่างไรก็ตามฤดูกาลในเขตร้อนไม่ค่อยมีผลอย่างรุนแรงต่อการขยายพันธุ์พืชหากเปรียบเทียบกับฤดูกาลของพืชในเขตหนาว ซึ่งพืชหลายชนิดจะพักตัวทิ้งใบและเก็บสะสมอาหารไว้ตามลำต้น และกิ่งในช่วงฤดูหนาว และในสภาพดังกล่าวอัตราการเจริญเติบโตทางลำต้นและกิ่งจะต่ำ การขยายพันธุ์พืชเขตหนาวด้วยวิธีการตัดชำ ทาบกิ่ง ต่อกิ่ง เป็นต้น ส่วนใหญ่นิยมทำในช่วงปลายฤดูหนาว เพื่อให้มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในฤดูใบไม้ผลิที่จะติดตามมา
8) อุณหภูมิและความชื้น หลังจากการขยายพันธุ์พืชแบบติดตา ทาบกิ่งต่อยอด หรือปักชำ หากจัดให้สภาพแวดล้อมรอบๆ ต้น หรือกิ่งที่ขยายพันธุ์ได้รับอุณหภูมิและความชื้นสูงแล้วจะไปเร่งการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อของส่วนขยายพันธุ์ทำให้การเชื่อมประสานของเนื้อเยื่อ และการงอกรากเกิดขึ้นได้เร็ว ในการขยายพันธุ์พืชเขตร้อนหลายชนิดด้วยวิธีการต่างๆ ดังกล่าว ระดับอุณหภูมิสูงที่เหมาะสมคือ 40° C โดยมีความชื้นสัมพัทธ์ของบรรยากาศ 90-100 เปอร์เซ็นต์
9) โรคและแมลงศัตรู ในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ของกิ่งตัดชำ หรือส่วนของเนื้อเยื่อที่เชื่อมประสานกัน ของวิธีการทาบกิ่ง ต่อกิ่ง ติดตา เนื้อเยื่ออ่อนเหล่านี้ประกอบด้วยเซลล์ที่มีอายุน้อยยังไม่มีความแข็งแรง ฉะนั้นโอกาสที่จะ ถูกรบกวนจากโรคแมลงย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย และเนื้อเยื่อที่ไม่มีความแข็งแรงเหล่านั้นมีจำนวนไม่มาก และอยู่ในช่วงที่มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะสร้างเป็นเนื้อเยื่ออื่นที่จำเป็น ฉะนั้นหากมีการเข้าทำลายของโรคแมลง ความเสียหายจะเกิดขึ้นทันที ส่วนขยายพันธุ์โดยเฉพาะส่วนของกิ่งพันธุ์ดีนั้นๆ ก็จะตายไปเลย ในการขยายพันธุ์โดยการปักชำจึงนิยมชุบสารเคมีป้องกันเชื้อรา ส่วนการขยายพันธุ์แบบทาบกิ่ง ต่อกิ่งติดตาจะต้อ ง
10 )ฝีมือและความละเอียดอ่อน
โดยเฉพาะกับการขยายพันธุ์พืชโดยวิธีติดตา ต่อกิ่ง ทาบกิ่ง เป็นต้น ซึ่งจะต้องเฉือนเนื้อเยื่อให้เป็นแผล หรือเปิดเนื้อเยื่อออก และที่สำคัญนั้นคือต้องการทำให้เนื้อเยื่อเจริญของกิ่งพันธุ์ดีและต้นตอ มีพื้นที่สัมผัสมากที่สุด และมีการเชื่อมของเนื้อเยื่อแนบแน่นที่สุดด้วย เนื้อเยื่อเจริญดังกล่าวซึ่งปกติเป็นเซลล์ขนาดเล็กไม่กี่แถว การทำให้เซลล์ชอกช้ำเสียหาย เช่น ใช้มีดไม่คม ผู้ทำไม่ชำนาญหรือเฉือนแล้วปล่อยทิ้งไว้นานเกินจนเซลล์เหี่ยว ล้วนแต่จะ