หน่วยที่ 2 วัตถุดิบ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือและการดูแลรักษา?

- วัตถุดิบ และวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือในการทำปุ๋ยชีวภาพ - การเตรียมและเลือกใช้เครื่องมือ - การดูแลรักษาเครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์

หน่วยที่ 3 การผลิตปุ๋ยชีวภาพ?

- การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพสำหรับเจริญเติบโต - การผลิตสารชีวภาพสำหรับไล่แมลง

หน่วยที่ 4 การทำบัญชี?

- การจดบันทึกการปฏิบัติงาน - การทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย - ปฏิบัติการคำนวณค่าใช้จ่าย การกำหนดราคาขาย และจัดจำหน่าย

แบบประเมินความพึงพอใจในการเรียน

วิธีการกำหนดราคาขาย

การตั้งราคาบวกจากต้นทุน (Cost-Plus Pricing)
          เป็นการตั้งราคาโดยการบวกจำนวนเปอร์เซ็นต์จำนวนหนึ่งเข้ากับต้นทุนของสินค้า  หรือราคาของสินค้าการตั้งราคาวิธีนี้นิยมในกิจการค้าและกิจการค้าปลีกเพราะถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแต่การบวกจำนวนเปอร์เซ็นต์นี้จะต้องคำนวณอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้คุ้มค่าใช้จ่ายทางตรงและค่าใช้จ่ายทางอ้อมแต่จะบวกมากน้อย
แค่ไหนขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้าด้วย  เช่น  ถ้าเป็นสินค้าที่ขายตามฤดูกาล (Seasonal Peak)    หรือสินค้า
ตามสมัยนิยมแล้ว มักจะมีการบวกเปอร์เซ็นต์ไว้สูงในระยะเริ่มแรกหรือในขณะที่กำลังเป็นที่นิยม ทั้งนี้เพื่อ
จะได้ชดเชยในภายหลังที่สินค้าล้าสมัย    หรือไม่เป็นที่นิยมและมีสต็อกค้างอยู่     แต่สินค้าประเภทสะดวกซื้อ (Convenience Goods) เป็นสินค้าที่ต้องซื้อบ่อย   ซื้อหาได้ง่ายและเป็นสินค้าที่มีการแข่งขันกันมาก  จึงต้องมีการบวกเปอร์เซ็นต์ต่ำ   อาจเป็น 10%  ได้แก่  สบู่  ปากกา  ดินสอ  บุหรี่  ยาสีฟัน  เป็นต้น  สำหรับสินค้าที่ขายได้ไม่บ่อยนัก   หรือสินค้าที่ต้องใช้เนื้อที่ในการวางสินค้ามากแล้วจะมีการบวกเปอร์เซ็นต์ไว้สูง เช่น เฟอร์นิเจอร์หรือถ้าเป็นสินค้าที่มีผู้ซื้อค่อนข้างจะมีฐานะดีก็จะมีการบวกเปอร์เซ็นต์ไว้สูงกว่าสินค้าที่มีผู้ซื้อมีฐานะยากบน เช่น  เครื่องเพชร 46%  ร้านขายเสื้อผ้า 41% กล้องถ่ายรูป 28% หนังสือ 34% และสินค้าตามสมัยนิยมสำหรับผู้หญิง 50% เป็นต้น  การตั้งราคาบวกจากต้นทุนได้รับความนิยมเพราะ

1) เหมาะสำหรับกิจการที่ไม่ทราบถึงต้นทุนสินค้าแน่นอนเพราะการตั้งราคาแบบนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้ว่าอุปสงค์ของสินค้าจะเปลี่ยนแปลง 

2) เป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเสียเวลาในการปรับปรุง 

 3) ทำให้มีการแข่งขันด้านราคาน้อยเพราะราคาที่ออกมาจะเท่า ๆ กัน     และ

4) ทำให้เกิดความยุติธรรมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย 

กล่าวคือ   ถ้าอุปสงค์มีการเปลี่ยนแปลงผู้ขายจะไม่ถือโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบผู้ซื้อ   เพราะถือว่าได้รับผลตอบแทนที่ยุติธรรมแล้วการตั้งราคาโดยวิธีบวกจากต้นทุน สามารถกำหนดได้ อย่าง  คือ

1. คิดจากต้นทุนของสินค้า (Markup on Cost)     ในการตั้งราคาโดยคำนึงถึงต้นทุนนี้     สามารถพิจารณา
การตั้งราคาได้ อย่าง คือ  การตั้งราคาโดยบวกจากต้นทุนรวมและการตั้งราคาโดยบวกต้นทุนผันแปร  ดังนี้
          1.1 การตั้งราคาโดยบวกจากต้นทุนรวม
ตัวอย่าง     บริษัทผลิตสินค้าชนิดหนึ่งมีต้นทุนรวม 200 บาท  ต่อหน่วย   ผู้ผลิตต้องการส่วนบวกเพิ่ม 15%
จากต้นทุนสินค้า   ดังนั้น   ราคาขายสินค้าจะเป็น 230 บาท

คำนวณ

ราคาขายสินค้าต่อหน่วย = ต้นทุนสินค้ารวมต่อหน่วย + ส่วนบวกเพิ่มที่ต้องการ

ตัวอย่าง   บริษัทมีต้นทุนผันแปรในการผลิต 50 บาทต่อหน่วย    ต้นทุนผันแปรจากการขาย 10 บาท      
และได้กำหนดอัตราส่วนบวกเพิ่มจากต้นทุนผันแปร 20% บริษัทควรตั้งราคา   สินค้าเท่าใด

2. คิดจากราคาขายสินค้า (Markup on Selling Price)
ตัวอย่าง
 บริษัทมีต้นทุนที่ซื้อสินค้ามาเพื่อขาย 45 บาทต่อหน่วย ถ้าต้องการส่วนบวกเพิ่ม 10% ของราคาขาย
จะต้องกำหนดราคาขายเท่าใด
คำนวณ           ราคาขาย   =   ต้นทุนสินค้าที่ขาย + ส่วนบวกเพิ่มที่ต้องการ
                         100%         =    ต้นทุนสินค้าที่ขาย + 10%
           ต้นทุนสินค้าที่ขาย   =   100 –10   =   90%
จากโจทย์   ต้นทุนสินค้าที่ขาย 45 บาท   =  90% ของราคาขาย   90%   ซึ่งเท่ากับ 45 บาท

3. วิธีบวกเพิ่มแบบลูกโซ่ (Mark up Chain) 
          เป็นการตั้งราคาขายสินค้าโดยบวกเพิ่มจากราคาขายของคนกลาง          ซึ่งการตั้งราคาของคนกลางจะ
ต่างกับผู้ผลิต   เพราะต้นทุนของคนกลางมักจะเป็นค่าเช่าคลังสินค้า   ค่าเก็บรักษาสินค้า   ค่าเช่าร้าน  เป็นต้น
ซึ่งยากที่จะแยกออกมาเป็นต่อหน่วยของสินค้าได้     นอกจากนี้แล้ว    คนกลางมักจะจำหน่ายสินค้าหลายชนิด ดังนั้น   ในการตั่งราคาที่ง่ายที่สุดจึงเป็นการบวกเพิ่มเข้าไปในต้นทุน    หรือราคาขายของสินค้าที่ซื้อมาโดยการกำหนดเปอร์เซ็นต์ที่คิดว่าจะบวกเพิ่มให้กับสินค้าต่าง ๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้าด้วย
ตัวอย่าง    บริษัทผู้ผลิตใช้ต้นทุนการผลิต 27 บาทต่อหน่วย ผู้ผลิตต้องการส่วนบวกเพิ่ม 10% ของราคาขาย ดังนั้น  

จะขายสินค้าในราคา 27+3 = 30 บาท แสดงได้ดังนี้